ชีวิตเนื่องด้วยเวลา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ธรรมะไง ธรรมะเป็นอาหารของใจ ร่างกายนี่กินคำข้าวเป็นอาหาร ใจกินธรรม ธรรมคืออะไรล่ะ?
ธรรม...ธรรมมันเป็นนามธรรมไง มันสร้างขึ้นมา ธรรม เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ธรรมอันนั้นอันที่ว่าพระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ นั่นธรรมอันเอก ธรรมอันนั้นเป็นอาหารของใจไง แต่เรายังเข้าไม่ถึง เข้าไม่ถึงเราก็ต้องว่าเตือนกิริยาของธรรม คือว่าพยายามเชื่ออันนี้เข้าไปไง พอเชื่ออันนี้เข้าไป เราจะเข้าไปได้
อย่างเช่นวัฏวน พระพุทธเจ้าสอนถึงวัฏวน อาจารย์มหาบัวบอก เปรียบเหมือนกับมดไต่ขอบกระด้ง เห็นไหม มดไต่ขอบกระด้ง หมุนไปๆ เวียนมา มันเดินไต่ขอบกระด้ง มันนึกว่าของใหม่อยู่ แต่มันเดินทั้งวันทั้งคืนก็เดินอยู่ขอบกระด้ง
นี่ไงชีวิต ชีวิตวนอยู่ในวัฏฏะนี้ เราว่าเป็นของใหม่ตลอดเวลา ชีวิตนี้เดินอยู่ได้บนเวลาไง ไต่ไปอยู่บนขอบของเวลา เวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลา ๑ วัน เวลา ๑ ปี อย่างเช่นชีวิตเด็กๆ เกิดมาเป็นชีวิตเด็กๆ มีความสุขมาก เราต้องมีการศึกษาเล่าเรียน กาลหนึ่งของชีวิต เห็นไหม พอโตขึ้นมามีการมีงานทำ แล้วก็แก่ชราไป เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานไปเรื่อย
นี่ไต่ไปในกาลเวลา ถ้าเวลาสืบต่อ ชีวิตนี้ก็มีอยู่ ชีวิตนี้มีอยู่ เหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งอันนั้นมันถึงมีไง เห็นไหม ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นชาตินี้ทุกข์อย่างยิ่ง การเกิดนี่ การมีการเกิด ทุกข์คือสัจจะ ฝั่งของทุกข์คือการเกิด พอมีการเกิดคือมีฐานที่รองรับ ถ้าเราไม่เกิด เราอยู่สถานะที่อื่น มันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เกิดมามีสถานะรองรับ
แล้วรองรับมา แม้เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นคนแก่ อยู่ไต่ไปบนกาลของเวลาอีกต่างหาก ชีวิตนี้สืบต่อไปเพราะกาลเวลา นี้กาลเวลาไป เราก็มีความทุกข์ความสุขของเราพอสมควร เพราะ! เพราะเราสร้างคุณงามความดีมาก็เคยสร้าง สร้างความผิดพลาดมาเราก็เคยทำมา มันถึงจะมีทุกข์มีสุขปนเปในชีวิตเรา
นี้อันนั้นมันเป็นกรรมเก่า เห็นไหม กรรมเก่ามันต้องสร้างผลให้คนเป็นคนดี แล้วมันสร้างเป็นมนุษย์สมบัติขึ้นมา เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์
เกิดเป็นมนุษย์ มันมีสถานะรับธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลงที่ใคร เห็นไหม สัตว์เดรัจฉานคือทำคุณงามความดีได้ แต่! แต่ทำอริยผลไม่ได้ แต่เขาทำคุณงามความดีได้นะ แม้แต่ท้าวโฆสกะ เห็นไหม เป็นสุนัขนะ ทำคุณงามความดีจนไปเกิดเป็นเทวดา ท้าวโฆสกะไปจากสุนัขนะ ถึงว่าสัตว์เดรัจฉานทำคุณงามความดีได้ ไปสวรรค์ไปในภพภูมิเขาได้ แต่ไม่สามารถทำแบบมนุษย์เรา
เกิดเป็นมนุษย์เราถึงว่าทำใจให้ผ่องแผ้วได้ไง จิตใจนี้มันครอบคลุมไปด้วยกิเลส เพราะการเกิดกิเลสพาเกิด กิเลสเป็นเชื้ออย่างหนึ่งในหัวใจ แล้วมันพยายามดิ้นรนเอาแต่ตามใจของมัน แล้วมันทำให้เราหลงเคลิบเคลิ้มไปตามมัน เราถึงจะพยายามฝืนมันไง เราจะฝืนความคิดของเราที่ทำไปสิ่งที่ไม่ดี พอฝืนอันนั้น นี่คือธรรม ธรรมคือศีล เห็นไหม ศีลคือฝืนใจตัวเอง ฝืนใจ ฝืนความคิดให้อยู่ในกรอบของศีล
แล้วถ้าทำไปแล้ว ชีวิตนี่ไต่ไปบนขอบของเวลา เห็นไหม ไต่ไปในขอบของเวลา ถ้าเรายังชีวิตยังสืบต่อ เวลายังมีอยู่ ชีวิตก็มี ลมหายใจยังมีอยู่ เป็นไปได้อยู่ ถ้าชีวิตดับ เห็นไหม กาลเวลามีอยู่ เราไต่ไปบนขอบของกาลเวลา วันคืนยังมีอยู่ตลอดไป แต่ชีวิตนี้ดับไปต่างหากล่ะ เห็นไหม ไต่ไปบนขอบของกาลเวลา
ทีนี้เราประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติจนเป็นเด็กๆ ก็สามารถรู้ได้ เณรอายุ ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม อายุ ๗ ขวบ เด็กขนาดนั้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เรายังว่าเด็กๆ มีความคิดอะไร
ปัญญาของพระอรหันต์ อรหัตตภูมินะ อรหัตตมรรค อรหัตตผล เกิดในอายุเด็ก ๗ ขวบนั้นหรือ? เด็ก ๗ ขวบนั้นมีปัญญาขนาดรู้เรื่องขนาดนี้ แล้วเราอายุเท่าไหร่? เรามีปัญญาขนาดไหน? เราทำไมไม่สามารถรู้อย่างนี้ได้?
เด็ก ๗ ขวบก็จริงอยู่ แต่ภูมิปัญญาเขาไม่ใช่ ๗ ขวบ ภูมิปัญญาของเขาถึงว่าเดินถึงอรหัตตมรรค-อรหัตตผลนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เป็นเรื่องของการชำระกิเลส แต่เป็นเพราะบุญของเขาสร้างมา เขาทำเขามา เห็นไหม มีเหตุมีผล ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ต้องมีเหตุมีผล ชำระกิเลสได้ด้วยอรหัตตมรรค อรหัตตผลมันเกิดขึ้นมา
พอเกิดขึ้นมา เด็ก ๗ ขวบนะ สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์นะ ชีวิตที่เหลือไง ชีวิตที่เหลือนี้ไต่ไปบนขอบของกาลเวลาเหมือนกัน แต่มีความสุขพร้อมกับไต่ไปบนขอบของกาลเวลา ๗ ขวบมาอย่างกับเด็ก เกิดเป็นเด็กเราต้องมีการศึกษา มีความสุขช่วงนั้น แล้วเราไปทำงานเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมา จะผ่านโลกผ่าน จะรู้กระทบกระทั่ง จะมีความทุกข์ขึ้นมาบ้าง ตรงนี้จะรู้
ถึงว่าชีวิตมันไต่ไปขอบของเวลาพร้อมกับแบกความทุกข์ไปด้วย เด็ก ๗ ขวบ เห็นไหม อายุแค่ ๗ ขวบสำเร็จก่อน นี่ไต่ไปบนขอบของกาลเวลาพร้อมกับความสุขในใจนั้นนะ ความสุขในใจนั้นหมายถึงว่าย้อนกลับมาที่ใจนั้นจะมีความสุข ย้อนกลับมาไม่รับรู้สิ่งใด แต่ถ้าเคารพออกมาข้างนอก มันก็เป็นสิ่งที่กระทบกระทั่ง
ก่อนที่จิตพระอรหันต์หรือว่าจิตที่ดวงนิพพานจะออกมาถึง สื่อออกมาข้างนอก มันต้องสื่อออกมาจากขันธ์ กระเพื่อมออกมากันหน่อย พอกระเพื่อมออกมามันก็แบ่งแยกผิดถูก อันนี้มันเป็นเปลือกของใจ พอเป็นเปลือกของใจ อาการที่ออกไปถึงว่าถ้าเป็นความขัดใจ เห็นไหม หมายถึงว่าสิ่งที่มันเป็นไปฝืนกับความเป็นจริง นี่ความขัดใจ
ฉะนั้น พระอรหันต์ถึงมองโลกเป็นการปลงธรรมสังเวชไง โลกที่เป็นกรรมขับเคลื่อนไปด้วยการบีบบี้สีไฟหรือการที่กดขี่กัน พระอรหันต์ไม่เห็นด้วย แต่ไม่เห็นด้วยมันเป็นเรื่องของกรรม ฟังนะ! มันเป็นเรื่องของกรรมแต่ละสัตว์บุคคลทำมา กรรมนี้ถึงครอบไปทั้งหมด ทำกรรมแล้วกรรมนั้นจะให้ผลทุกๆ คนไป กรรมที่ให้ผลมา กรรมดีกรรมชั่วก็ให้ผลมา แต่กรรมนี้แก้ไขได้
กรรมนี่ถ้าแก้ไขไม่ได้ พระอรหันต์ ๗ ขวบ เห็นไหม เณร ๗ ขวบนั่นเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรในเมื่อเขาก็ทำกรรมมาเหมือนกัน?
กรรมต้องให้ผลตลอดไป ทำคุณงามความดีขนาดไหน คุณงามความดีนั้นต้องให้ผลตลอดไปสิ แต่ทำไมเวลาเป็นพระอรหันต์ข้ามพ้นจากบุญและบาป? ฟังสิ! เพราะความดีนั้นทำให้ใจติด ความดีนั้นแก้วแหวนเงินทอง เราก็อยากได้มาก การอยากได้มากต้องเก็บสงวนรักษาไหม? ต้องเป็นความทุกข์ไหม?
มันเป็นความทุกข์อย่างละเอียด ทุกข์ที่ใจมันพอใจไง ความพอใจของใจมันเลยมองว่าไม่ทุกข์ เห็นไหม มันมองว่ามันเป็นความสุขของมัน ถึงว่าเป็นความพะรุงพะรังนี้ก็ต้องข้าม นี่ข้ามทั้งบุญและบาปออกไป ข้ามอาการของใจอันนี้ไป
ถึงว่าไต่ไปบนขอบของกาลเวลา เขาก็มีความสุขของเขา ความปลงธรรมสังเวชเพราะว่าธาตุขันธ์ยังมีอยู่ เห็นเรื่องของโลกเขาเป็นไป ก็มองเรื่องโลกเป็นไป แล้วบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติไป ถึงกลางอายุเป็นพระอรหันต์ก็มี ถึงบั้นปลายของอายุเป็นพระอรหันต์ก็มี แต่เขาก็ใช้ศักยภาพของมนุษย์นี้คุ้มค่าไง ศักยภาพของมนุษย์ เห็นไหม
แล้วเอามาวิเคราะห์วิจัยด้วยวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณในกาย เวทนา จิต ธรรม แต่ ๗ ขวบก็สามารถวิเคราะห์วิจัยจนข้ามพ้นจากกิเลสไปได้ ถึงกลางคนก็ข้ามพ้นจากกิเลสไปได้
ถึงเห็นไหม มีพระอรหันต์องค์หนึ่งที่ว่าโดนเสือกัดอยู่ในป่า ขนาดเสือกัดถึงเท้านะ กัดถึงเอวนะ ยังไม่สำเร็จนะ กัดถึงกับเลยจากเอวขึ้นมามันจะตายแล้ว ขณะสิ้นไปพร้อมกับกิเลสยังมีคุณค่ามากเลย มีคุณค่ามากในสมัยพุทธกาลนะ สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าปฏิบัติไปได้พระอรหันต์พร้อมกับชีวิตนี้ดับขันธ์ไปนะ จนเขาไม่เชื่อว่าคนทำอย่างนี้จะสิ้นไปได้
ไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า เขาไม่เคยทำ เขาไม่เคยรู้ คนที่ลัทธิต่างๆ ในลัทธิศาสนานอกศาสนาพุทธมีอยู่ คนที่ว่าเมาเหล้าเมายา แต่เวลาตายไปพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่าเป็นพระโสดาบันนะ เขาบอก พระโสดาบันทำอย่างนั้นเหรอ? ในการประพฤติปฏิบัติตัว ทำตัวไม่ดีอย่างนั้นเป็นพระโสดาบันได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งที่เขาทำอยู่นั้นเขาทำไม่ถูกต้อง จริงอยู่เขาเป็นคนขี้เหล้าเมายาเพราะว่าด้วยความไม่รู้ ด้วยนิสัยใจคอเขาเป็นอย่างนั้นมา แต่คนมันมีความเห็นอยู่ภายใน คือจิตที่ว่ามันสร้างบุญกุศลมา ก่อนจะตายนะ วิปัสสนาตอนนั้นไง เห็นโทษของมัน แล้วละได้เหมือนกับที่ว่าละได้ท่ามกลางปากเสือนั่นไง นี่ละได้ท่ามกลางที่ว่าจะดับชีวิตนี้ไป
พระพุทธเจ้าบอกว่า ดับชีวิตนี้ไป...มันเป็นความจริงก็ต้องว่าความจริง เขาได้ตอนที่เขาตาย แต่ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ เขาทำตัวของเขาไม่ถูกต้อง คนเขามองตรงนั้นไง มองตรงที่ว่าทำตัวไม่ดี คือว่าเป็นขี้เหล้าเมายาอยู่ แต่ไม่ได้มองตรงถ้าเขาวิปัสสนา
สิ่งที่ชำระกิเลสได้มันต้องเป็นการวิเคราะห์วิจัยด้วยวิปัสสนาญาณ ญาณข้างในนะ ญาณนี้คือธรรม ต้องสร้างเองขึ้นมา ถ้าเราศึกษาเล่าเรียนมา เราก็จำมาๆ จำมานั้นเป็นทฤษฎี เป็นสุตะฯ เห็นไหม
ถึงว่าพระพุทธเจ้าแบ่งปัญญาไว้เป็น ๓ ปัญญา ๓ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญานี่เป็นธรรมจักร เพราะมันเกิดขึ้นจากสุตมยปัญญา เราใคร่ครวญขึ้นมา แล้วพอใคร่ครวญจนจิตสงบ ปัญญาอบรมสมาธิ คือว่าการใคร่ครวญดูใจ ตรึกใจอยู่ตลอดเวลา จนใจมันสงบลงไป พอสงบเข้าไปถึงจะเกิดตรงนี้ไง เกิดตรงนี้คือมันเกิดจิตตัวตั้งมั่น ถึงจะเห็นว่าอะไรมันถูกต้อง อะไรมันไม่ถูกต้อง
ถูกต้องไม่ถูกต้องนี่เริ่มแบ่งแยกดีและชั่ว เห็นแล้วจับตัวของจิตได้ กายนี้ แต่ถ้าถามสมมุติ กายและใจนี้ถึงเป็นที่วิเคราะห์วิจัย การวิเคราะห์วิจัย เพราะ! เพราะกิเลสมันอยู่ที่ใจ อาศัยกายนี้คลุมไว้ กิเลสมันอยู่ที่ใจ พิจารณากายมันก็สะเทือนใจ พิจารณาใจจริงๆ มันก็จะสะเทือน ปล่อยอันนั้นนะ มันปล่อยอันนี้ อันที่ว่ามันฝังอยู่ที่ใจ ปล่อยขาดออกไปเลย หลุดขาดออกไปจากใจ
อย่างขันธ์ ๕ มันกับใจอยู่ด้วยกัน ขันธ์นี้ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ เวลาขาดนี่ขาดออกไป ขันธ์กับจิตขาดออกจากกัน แล้วขาดออกจากกัน กิเลสตัวร้อยรัดอยู่มันหลุดออกไป ตัวสังโยชน์ สังโยชน์ที่ร้อยจิตกับขันธ์นี้ด้วยกันขาดออก ขาดออกแล้วหลุดออกไป หลุดออกไปอะไรหลุดออกไป? กิเลส เครื่องสังโยชน์ที่ร้อยรัดหลุดออกไป นั่นเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา
แต่พระอริยบุคคลขึ้นมาแล้วหลุดออกไป เห็นไหม ขันธ์ที่กิเลสหลุดออกไปมันก็ยังกลับมาเชื่อมต่อกันอย่างเก่า เชื่อมต่ออย่างเก่าเพราะอะไร? เพราะศักยภาพของมนุษย์มันมีกายกับใจ ใจนี่มีขันธ์ ๕ มันมีอยู่แล้วใช่ไหม?
ทีนี้เราเป็นมนุษย์อยู่ เป็นพระอรหันต์ก็เป็นมนุษย์ เป็นพระอริยบุคคลก็เป็นมนุษย์ ขันธ์ยังมีอยู่ เว้นไว้แต่ตายจากภพมนุษย์ไปอยู่ในภพของเทวดา นั่นก็เป็นขันธ์ ๔ ไปเกิดเป็นภพของพรหมนั่นเป็นขันธ์ ๑
ฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่นี้มันถึงว่าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน คือสิ่งที่มีเศษส่วนอยู่ ถึงจะปลงธรรมสังเวช ถึงว่าสื่อกันรู้เรื่องไง ความสื่อกันออกมาอันนี้ถึงว่ามันขาดมี ขาดคือกิเลสขาดไป ไม่ใช่ว่าขันธ์นี้ขาดออกไป เหมือนขันธ์คือสิ่งที่ว่าเคยเป็นมนุษย์อยู่ บางอย่างหลุดออกไป แต่กิเลสหลุดไปจริงๆ
เกิดจากวิปัสสนา เกิดจากการที่ว่าเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง ชีวิตนี้ไต่ไปบนขอบของเวลา อันนั้นถึงปล่อยไว้ ถ้าเป็นทางโลกนะ เรื่องของเวลานี่ โอ้โฮ...มันจะให้คือว่าจนพูดกันว่าเวลาทุกนาทีเป็นนาทีเงินนาทีทอง เราก็หมุนไปตามมัน ถ้าถึงเวลางานเราก็หมุนไปตามมัน แต่ถึงเวลาพักเราต้องพักได้สิ เวลาเป็นเวลา เราเป็นเรา แยกออกจากกันเลย แล้วสบายใจ แล้วเราโล่งใจ อันนี้ถึงว่าไม่เป็นขี้ข้าเขาจนเกินไป ไม่เป็นขี้ข้าของกิเลสจนเกินไป
แต่งานต้องทำ คนเกิดมา คนไหนทำงานคนนั้นเป็นคนที่ดี แล้วคนไหนทำงานประสบความสำเร็จ ความสำเร็จอันนั้น บุญกุศล ถ้าเราทำคุณงามความดีมา มันต้องมากับเรา เราไม่ปฏิเสธอันนั้นนะ สิ่งที่ว่าเกิดขึ้นมาโดยสัจจะโดยความจริง เงินทองเกิดขึ้นมา เงินอยู่ที่คนที่มีคุณธรรมในหัวใจ เงินนั้นจะเป็นประโยชน์กับโลกเขามหาศาล เงินอยู่กับคนที่ไม่มีคุณธรรมในหัวใจ เงินนั้นสามารถซื้ออะไรก็ได้
ถึงว่าทำอะไรที่ว่าเป็นผิดแปลก ทำสิ่งที่ตัวเองเข้าใจว่าดี แต่สุดท้ายแล้วให้ผลลบกับตัวเอง นั่นเพราะว่าคุณธรรมในหัวใจมันอ่อนด้อย มองไม่เห็นสิ่งว่าควรและไม่ควร ทำไปแล้ว เช่น อย่างซื้อยาเสพติดมาเสพซื้ออะไรนี่ มันให้โทษกับตัวเองขนาดไหน เงินทั้งนั้นที่ไปหามา ไม่ใช่ว่าไปหามาได้เปล่า
แต่ถ้าทำคุณงามความดี ถึงถ้าทำแล้วมาเป็นอย่างนั้นไม่ปฏิเสธ อันนี้ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่กิเลสคือทำตามหน้าที่ ไม่ใช่กิเลส กิเลสคือความอยาก คือว่าทำให้เกินกว่าเหตุไป พอเกินกว่าเหตุไป มันเกินกว่าเหตุ เกินกับสิ่งที่เป็นไปได้ แล้วสิ่งนั้นถึงว่าเป็นตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม ทะยานอยากออกไปถึงเป็นทุกข์ไง
อันนั้นถึงว่าเราปล่อยไว้ๆ แต่หน้าที่ของเราทำตามหน้าที่ของเรา หน้าที่นี้ถึงจะให้ความเป็นคุณประโยชน์กับเราได้ เอวัง